Rules and Regulations
- วันทำงาน เวลาทำงานปกติ เวลาพัก และการทดลองงาน
บริษัทกำหนดวันทำงาน เวลาทำงานปกติ เวลาพัก และการทดลองงาน ไว้ดังนี้
1.1 วันทำงาน
ทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน
1.2 เวลาทำงานปกติ
ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง An employee shall work 8 hours per day
1.2.1 “ลูกจ้าง” ที่ได้รับ “ค่าจ้าง” รายเดือน 9500 อื่นๆ
เวลา 10:00 น. ถึงเวลา 18:00 น. / 10:00 ถึงเวลา 23:00
1.2.2 “ลูกจ้าง” ที่ ได้รับ “ค่าจ้าง” เป็นเงินค่าตอบแทนการทำงาน ประเภทคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน
40 รายชั่วโมง
300 รายวัน
1.3 เวลาพัก
ก. ระหว่างการทำงานปกติ
พักระหว่างเวลา 14:00 น. ถึงเวลา 14:30 น.
ข. มิให้ใช้บังคับเวลาพักตาม ข้อ ก. ในกรณี “ลูกจ้าง” ที่ทำงานในลักษณะหรือสภาพของงานที่ต้องทำติดต่อกันไป “ลูกจ้าง” ประเภทนี้ “นายจ้าง” จัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างการทำงานแต่ละครั้งไม่เกิน 15 นาที เมื่อรวมกันแล้ววันหนึ่งมีระยะเวลาการพัก หนึ่งชั่วโมง และต้องไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
ให้ “ลูกจ้าง” จัดหาเวลาพักซึ่งต้องไม่ตรงกับเวลาดังต่อไปนี้
ช่วงเวลา 11.30 น. ถึง เวลา 14.30 น.
ช่วงเวลา 18.30 น. ถึง เวลา 21.30 น.
ค. ก่อนการทำงานล่วงเวลา
ในกรณีที่มีการทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง ให้ลูกจ้างพัก 15 นาที ก่อนเริ่มทำงานล่วงเวลา
1.4 การทดลองงาน
ทดลองงาน 3 เดือนหรือน้อยกว่านั้น และการทดลองงานวันแรกลูกจ้างจะไม่รับเงินค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
1.5 ระเบียบการปฏิบัติงาน
- บริษัทสามารถจะจัดทำกำหนดเวลาการทำงาน ชนิดใหม่ที่แตกต่างกับที่กล่าวมานี้ได้หากมีความจำเป็นที่จะต้องกระทำเช่นนั้น และในกรณีดังกล่าวบริษัทจะแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าถึงชั่วโมงการทำงานซึ่งจะต้องไม่เกินกว่าชั่วโมงทำงานตามกฎหมาย เช่นนั้น โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง
- ลูกจ้างทุกคนต้องปฏิบัติตามกำหนดเวลาทำงานที่บริษัทแจ้งให้ทราบอย่างเคร่งครัด
- บริษัทสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวันทำงาน เวลาทำงาน วันหยุด เวลาพัก และสถานที่ทำงาน (ภายในจังหวัดเดียวกัน) ได้ตามความเหมาะสมกับการบริหาร บางส่วน บางแผนก หรือทั้งหมดได้ ถ้าบริษัทเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นเป็นการสมควรเพื่อเสริมสมรรถภาพในการทำงานเพื่อเหตุอื่นใด โดยแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า โดยบริษัทจะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน
- การมาทำงานสายและการออกจากสถานที่ทำงานไปก่อนเวลาเลิกงาน
(1) การมาสาย ลูกจ้างผู้ใดที่เกรงว่าจะมาสายหรือมาทำงานช้ากว่าเวลาเข้างานที่กำหนดไว้ จะต้องติดต่อทางโทรศัพท์มายังผู้บังคับบัญชาก่อนร้านเปิดทำการ และหลังจากที่มาถึงบริษัทแล้วจะต้องต้องยื่นจดหมายแสดงถึงสาเหตุของการมาสายนั้นต่อผู้บังคับบัญชาทันที
(2) การเลิกงานก่อนเวลาที่กำหนด ลูกจ้างที่ประสงค์จะเลิกงานก่อนเวลาเลิกงานนั้น จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาล่วงหน้า
- “ลูกจ้าง” เข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย จะได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
- มีหน้าที่และความรับผิดชอบ เปิดร้านให้ตรงเวลาที่ “นายจ้าง”กำหนดเวลาไว้
- มีหน้าที่และความรับผิดชอบ ทำรายงาน ตรวจนับปริมาณสินค้า และรายรับที่ขายได้ในชั่วโมงการทำงานที่ตนรับผิดชอบตลอดเวลาโดยเฉพาะความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับปริมาณสินค้าและรายรับต่างๆ พนักงานขาย ไม่มีอำนาจในการใช้จ่ายเงินในกรณีใดๆ เว้นแต่ กรณีจำเป็น เร่งด่วนจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากหัวหน้างานหรือ ผู้บังคับบัญชาเสียก่อน การสำรองค่าจ่ายใช้ดังกล่าวไปนั้น จะต้องทำรายงานด้วยทุกครั้ง
- การรายงานเกี่ยวกับการทำงานตามข้อ 5 (2) ของ 1.5 ระเบียบปฏิบัติงาน นั้น ให้“ลูกจ้าง” เข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานขายทำรายงานการปฏิบัติงานผ่านระบบเว็บไซด์ โดยเข้าสู่ระบบรายงานใน https://bellodolceicecream.com/shop-information/
- รูปแบบรายงานการปฏิบัติงานมีดังต่อไปนี้
- การรายงานตรวจนับปริมาณสินค้า โดยการชั่งน้ำหนักปริมาณสินค้าในทุกช่วงเวลาที่มีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในเรื่องของปริมาณ น้ำหนัก ชั่ง ตวง วัด ให้ทำรายงานโดยแจ้ง ชนิด จำนวน ปริมาณ ของสินค้าที่ได้ขายไปแล้ว สินค้าที่ทางสำนักงานใหญ่ได้นำกลับออกไป และสินค้าใหม่ที่นำเข้ามาเพิ่มเติม โดยต้องมีการตรวจนับให้ครบถ้วนตามที่ได้วัด นับ ปริมาณ และให้ถูกต้อง กรณีหากเกิดปัญหาความผิดพลาด “ลูกจ้าง” ที่ดูแลประจำร้านของต้นต้องรับผิดตามปริมาณและใช้ราคา ตามที่ “นายจ้าง” ได้กำหนดไว้ ตามข้อ 6. (วินัยและโทษทางวินัย) เช่น กรณีที่ไอศกรีมภายในร้านไอศกรีมสูญหายเกินกว่าที่บริษัทกำหนดไว้ ลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานขายต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 50 บาท ต่อ 75 กรัม เป็นต้น
- ให้ “ลูกจ้าง” รายงานปัญหา หรือกรณีความเสียหายใดๆไม่ว่าเหตุเล็กน้อยหรือเหตุความเสียหาหนัก ซึ่งมีเหตุอันเล็งเห็นผลได้ว่า ภัย อันตราย ปัญหา ความเสียหาย “ลูกจ้าง” ต้องแจ้งต่อหัวหน้างาน ผู้บังคับบัญชาตัวแทนของ “นายจ้าง” หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยทันที ไม่ว่าจะเกิดขึ้นต่อตัวต่อสินค้าและหรือทรัพย์สินของ “นายจ้าง” หากเกิดกรณี “นายจ้าง” ทราบเหตุความเสียหายดังกล่าวล่าช้าจนทำให้ เกิดความเสียหายหนักขึ้น หรือเกิดจากความประมาทเลินเล่อของ “ลูกจ้าง” อย่างร้ายแรง กรณีดังกล่าวนี้นั้น ให้“ลูกจ้าง” ที่ดูแลประจำร้านรับผิดตามมูลค่าของสินค้าและหรือทรัพย์ทรัพย์สินนั้นเต็มจำนวน เว้นแต่กรณีพ้นวิสัย ซึ่งถึงอย่างไรๆก็เกิดขึ้น
ข้อ 2. วันหยุดและหลักเกณฑ์การหยุด
2.1 วันหยุดประจำสัปดาห์
หยุดสัปดาห์ละ 1 วัน
บริษัทจ่ายค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน
2.2 วันหยุดตามประเพณี
ลูกจ้างจะได้หยุดโดยได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน
ถ้าวันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันทำงาน นายจ้างสามารถเลื่อนวันหยุดไปในช่วงเวลาอื่นได้
2.3 วันหยุดพักผ่อนประจำปี
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาครบหนึ่งปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีโดยได้รับค่าจ้างปีละ 7 วันทำงาน ทั้งนี้ บริษัทจะกำหนดล่วงหน้าให้หรือตามที่ตกลงกัน เว้นแต่ได้ตกลงกันสะสมและเลื่อนวันหยุดที่ยังไม่ได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อ ๆ ไป
- ลูกจ้างที่ประสงค์จะใช้สิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีจะต้องยื่นใบลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วันทำงาน และจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเท่านั้น มิฉะนั้น จะถือว่าขาดงานละทิ้งหน้าที่
ข้อ 3. หลักเกณฑ์การทำงานล่วงเวลาและการทำงานในวันหยุด
ในกรณีที่งานมีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน หรือเป็นงานฉุกเฉินบริษัทจะให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน หรือทำงานในวันหยุด รวมถึงล่วงเวลาในวันหยุดได้เท่าที่จำเป็น โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน
ข้อ 4. วันและสถานที่จ่ายค่าจ้าง
4.1 บริษัทกำหนดจ่ายค่าจ้างในวันทำงาน ให้แก่ลูกจ้างในวันทำงานปกติเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ณ ที่ทำการของบริษัท หรือจ่ายผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารของลูกจ้างหรือตามที่บริษัทเห็นสมควร
เงินค่าตอบแทนพิเศษ หรือ ประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษ หรือเงินโบนัส ที่“นายจ้าง” จัดสรรให้เป็นรางวัลอันเป็นค่าตอบแทนนอกเหนือจากเวลาทำงานปกติ (ถ้ามี) โดยจะคำนวณจากกำไรสุทธิต่อเดือนของแต่ละสำนักงานของ “นายจ้าง” ที่ “ลูกจ้าง” ทำงานนั้น เงินดังกล่าว “นายจ้าง” จะจ่ายให้แก่ “ลูกจ้าง” ในวันท้ายสุดเดือนถัดไป
4.2 กรณีวันที่จ่ายค่าจ้างในวันทำงานตรงกับวันหยุดธนาคารหรือวันหยุดของบริษัท บริษัทจะจ่ายก่อนวันหยุด 1 วันทำงาน
ข้อ 5. วันลาและหลักเกณฑ์การลา
ประเภทการลาและหลักเกณฑ์การลา บริษัทกำหนดไว้ดังนี้
5.1 การลาป่วย
- ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริงโดยได้รับค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงาน
- วันลาป่วยของลูกจ้าง จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย บาดเจ็บ หรือป่วยด้วยเหตุอื่นๆ จนทำให้ไม่สามารถทำงานได้โดยไม่ทราบล่วงหน้า
- การลาป่วยต้องแจ้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในทันที่ที่รู้ว่าไม่สามารถทำงานได้ โดยแจ้งหัวหน้า ผู้บังคับบัญชา ตัวแทน “นายจ้าง” หรืออาจแจ้งความเจ็บป่วยผ่านช่องทางสื่ออีเล็กทรอนิกส์เช่น อีเมล์ ระบบรายงานในเว็บไซด์ของ “นายจ้าง” และต้องแจ้งก่อนวันทำงานวันแรกที่ต้องหยุดงาน แต่หากเป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนจะต้องกระทำภายใน 2 ชั่วโมงแรกของเวลาทำงานปกติในวันแรกที่ต้องหยุดงาน โดยให้ลูกจ้างหรือบุคคลอื่นติดต่อแจ้งให้บริษัทหรือผู้บังคับบัญชาของตนทราบด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด หากลูกจ้างไม่แจ้งภายในเวลาที่กำหนด ถือว่าลูกจ้างขาดงานในวันดังกล่าว
- กรณีการลาป่วยเกิดขึ้นภายหลังจากที่มาทำงานในวันนั้นแล้ว ให้ขออนุมัติการลาต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรงของตน
- การลาป่วยเกิน 3 วัน ลูกจ้างจะต้องมีหนังสือรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดง ถ้าลูกจ้างไม่อาจสามารถแสดงใบรับรองแพทย์ได้ให้ลูกจ้างชี้แจงให้บริษัททราบ
- ลูกจ้างที่ลาป่วยโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรบ่อยครั้งและบริษัทพิสูจน์ได้ว่าไม่ป่วยจริงบริษัทจะพิจารณาโทษทางวินัยตามความเหมาะสมซึ่งจะพิจารณาเป็นกรณีไป
- การลาป่วยที่เป็นเท็จ นอกจากจะเป็นการแจ้งรายงานข้อมูลไม่จริงต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว ยังถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อบริษัท ฐานกระทำทุจริตซึ่งบริษัทจะพิจารณาลงโทษตามระเบียบ
5.2 การลาเพื่อคลอดบุตร
- ลูกจ้างหญิงที่มีครรภ์ มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรก่อนและหลังคลอดครั้งหนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน (รวมวันหยุด) บริษัทจ่ายค่าจ้างในวันทำงานให้แก่ลูกจ้างซึ่งลาคลอดตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน โดยลาล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน
- เนื่องจากการคลอดแม้ว่าจะได้หยุดตามเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาคลอดตามข้อ 1 แล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถจะมาปฏิบัติงานได้ บริษัทจะอนุญาตให้ลาหยุดเพิ่มเติมได้อีกไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง
- กรณีฉุกเฉิน ลูกจ้างไม่สามารถยื่นใบลาล่วงหน้าได้ตามระเบียบ ให้ลูกจ้างแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงเหตุผลโดยวิธีใดวิธีหนึ่งทันที เช่น ทางโทรศัพท์หรือจะให้ญาติหรือคู่สมรสมาแจ้งการลาแทน
- ถ้าลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง แสดงว่าไม่อาจทำงานในหน้าที่เดิมได้ให้มีสิทธิขอให้บริษัทเปลี่ยนงานในหน้าที่เป็นการชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ โดยบริษัทจะพิจารณาเปลี่ยนงานให้แก่ลูกจ้างนั้นตามที่เห็นสมควร
5.3 การลาเพื่อทำหมัน
- บริษัทอนุญาตให้ลูกจ้างลาเพื่อทำหมันได้ และมีสิทธิลาเนื่องจากการทำหมันโดยได้รับค่าจ้าง ทั้งนี้จำนวนวันลาให้เป็นไปตามระยะเวลาที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งเป็นผู้กำหนด
- ลูกจ้างที่จะลาเพื่อทำหมัน จะต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน เมื่อได้รับอนุมัติจึงจะลาได้
- เมื่อกลับเข้าทำงานในวันแรก ลูกจ้างจะต้องยื่นหนังสือรับรองแพทย์ต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการลา
5.4 การลาเพื่อรับราชการทหาร
- ในกรณีที่ทางราชการได้ออกหมายเรียกตัวลูกจ้าง เพื่อเข้ารับราชการทหารในการเรียกพล เพื่อตรวจสอบ เพื่อการฝึกวิชาทหาร หรือเพื่อทดสอบความพรั่งพร้อม โดยลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งไม่เกิน 60 วัน (โดยนับต่อเนื่องและรวมทั้งวันหยุด)
- การลาเพื่อรับราชการทหาร ลูกจ้างจะต้องแจ้งให้บริษัททราบภายใน 3 วันนับจากวันที่ได้รับหมายเรียก การลาเพื่อรับราชการทหาร ลูกจ้างต้องลาล่วงหน้า 30 วัน กรณีลูกจ้างที่ถูกเกณฑ์ทหาร จะต้องลาออกจากการเป็นลูกจ้างของบริษัท
- ลูกจ้างต้องกลับเข้าทำงานภายใน 3 วัน นับจากวันที่ลูกจ้างพ้นหน้าที่ทางราชการทหาร หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วลูกจ้างไม่มีการติดต่อกับบริษัท โดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือปฏิเสธที่จะเข้าทำงานในตำแหน่งที่บริษัทเสนอให้ (โดยตำแหน่งและค่าจ้างไม่ต่ำกว่าเดิม) ให้ถือว่าลูกจ้างผู้นั้นได้สละสิทธิในการที่จะทำงานกับบริษัท และถือว่าลูกจ้างผู้นั้นลาออกจากการเป็นลูกจ้างของบริษัทโดยสมัครใจ
5.5 การลาเพื่อการฝึกอบรมและพัฒนาความรู้ความสามารถ
- ลูกจ้างมีสิทธิลาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เพื่อการฝึกอบรม หรือพัฒนาความรู้ความสามารถในกรณี ดังต่อไปนี้
– เพื่อประโยชน์ต่อการแรงงานและสวัสดิการสังคม รวมทั้งการฝึกอบรมหรือพัฒนาเกี่ยวกับทักษะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
– การสอบวัดผลทางการศึกษาที่ทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้น
- ลูกจ้างซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มีสิทธิลาเพื่อเข้าประชุมสัมมนา รับการอบรม รับการฝึกหรือลาเพื่อการอื่น ซึ่งจัดโดยสถานศึกษา หรือหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน ที่ได้รับการเห็นชอบจากอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยให้ลูกจ้างเป็นผู้แจ้งขออนุญาตเพื่อเข้ารับการอบรมนั้นๆ พร้อมทั้งแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง (หากมี) และบริษัทจะพิจารณาอนุมัติ โดยจ่ายค่าจ้างให้ปีละ 30 วัน
- ลูกจ้างที่มีสิทธิลา จะต้องเป็นลูกจ้างที่ผ่านการทดลองงานแล้ว
- ลูกจ้างต้องยื่นใบลาล่วงหน้าเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาอนุมัติเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน โดยจะต้องระบุถึงเหตุที่ลาโดยชัดแจ้ง รวมทั้งมีเอกสารประกอบการขออนุมัติ เช่น หนังสือตอบรับการเข้าฝึกอบรม รายละเอียดหลักสูตร ฯลฯ ทั้งนี้รวมตลอดปีพนักงานมีสิทธิลาได้ไม่เกิน 30 วันหรือ 3 ครั้ง อย่างใดอย่างหนึ่ง
- บริษัทมีสิทธิไม่อนุมัติให้ลา หากการลานั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่การดำเนินงานของบริษัท
5.6 การอุปสมบท
- ลูกจ้างที่ผ่านการทดลองงานแล้ว สามารถขอลาอุปสมบทได้ไม่เกิน 15 วัน โดยได้รับค่าจ้าง โดยสามารถลาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การลาอุปสมบทดังกล่าวนี้ ลูกจ้างต้องใช้สิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีที่มีสิทธิก่อน ที่เหลือเป็นลากิจที่บริษัทจะพิจารณาอนุมัติให้
- การลาอุปสมบท บริษัทจะอนุมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้บังคับบัญชา ซึ่งจะต้องไม่เป็นผลเสียหายต่องานของบริษัท
- ในปีหนึ่งๆ บริษัทมีสิทธิจำกัดจำนวนผู้ลาอุปสมบทได้ตามความจำเป็น
- ในวันที่ลูกจ้างกลับมาปฏิบัติงานตามปกติแล้ว ลูกจ้างต้องนำหลักฐานหรือหนังสือรับรองการอุปสมบท (ใบสุทธิ) มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลเพื่อบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
5.7 การลาหยุดในกรณีอื่นๆ
บริษัทจะอนุญาตให้ลูกจ้างลาหยุดได้ในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้ โดยได้รับค่าจ้าง
- การลาเพื่อจัดพิธีฌาปนกิจศพ เมื่อบิดา มารดา คู่สมรส พี่น้องร่วมบิดามารดา และบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตนถึงแก่กรรม โดยยื่นใบลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 วัน เมื่อได้รับอนุมัติจากบริษัทแล้วจึงหยุดได้ ทั้งนี้ ลาได้ไม่เกินครั้งละ 5 วัน
- ลาเพื่อประกอบพิธีสมรสของลูกจ้าง โดยยื่นใบลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน เมื่อได้รับอนุมัติจากบริษัทแล้วจึงหยุดได้ ทั้งนี้ ลาได้ไม่เกิน 3 วัน โดยมีสิทธิลาได้เพียง 1 ครั้งต่อคน
- ในกรณีเกิดอัคคีภัย อุทกภัยต่างๆ ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติทำให้บ้านเรือนที่พักอาศัยเกิดความเสียหายเกินว่าครึ่งหนึ่งขึ้นไป โดยยื่นใบลาและเมื่อได้รับอนุมัติจากบริษัทแล้วจึงหยุดได้ ทั้งนี้ ลาได้ไม่เกิน 3 วัน
ข้อ 6. วินัยและโทษทางวินัย
6.1 วินัย
- ลูกจ้างต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน
- ลูกจ้างต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งโดยชอบของผู้บังคับบัญชา
- ลูกจ้างต้องมาปฏิบัติงานให้ตรงตามเวลา
– หากลูกจ้างมาสายเกินกว่า 1 ชั่วโมง โดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบล่วงหน้า บริษัทจะปรับเงินครั้งละ 200 บาท
– หากลูกจ้างขาดงานไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม โดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบล่วงหน้า บริษัทจะปรับเงินวันละ 400 บาท
– หากลูกจ้างขาดงานเกิน 3 วัน โดยไม่แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบล่วงหน้า ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างและค่านายหน้าสำหรับเดือนนั้น และหากลูกจ้างที่ประพฤติดังกล่าวทำงานได้ไม่เกิน 3 เดือน บริษัทมีสิทธิเลิกจ้างทันที โดยไม่ต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า
– หากลูกจ้างไม่ดำเนินการเปิดร้านในแต่ละสาขาของบริษัท บริษัทจะปรับเงินลูกจ้างตามจำนวนค่าเสียหายที่แท้จริง ซึ่งบริษัทต้องสูญเสียรายได้จากการปิดร้านดังกล่าว
- ลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่กลั่นแกล้ง จงใจ หรือประมาทจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ลูกจ้างด้วยกันเอง หรือลูกค้า
- ลูกจ้างต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความขยันและเต็มความสามารถ
– ลูกจ้างต้องกล่าวทักทายลูกค้าด้วยความสุภาพเรียบร้อยและยิ้มแย้มแจ่มใส
– ลูกจ้างต้องจดบันทึกยอดขายในแต่ละวันให้ถูกต้องครบถ้วน
– ห้ามลูกจ้างใช้โทรศัพท์มือถือในเวลาทำงาน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกค้าและหน้าร้านไอศกรีม เว้นแต่ใช้เพื่อการทำงานเท่านั้น
- ลูกจ้างต้องปฏิบัติตามกฎแห่งความปลอดภัยในการทำงาน
- ลูกจ้างต้องดูแลบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์การทำงานให้อยู่ในสภาพดีเป็นระเบียบเรียบร้อยตามความจำเป็น หรือตามควรแก่หน้าที่ของตน
- ลูกจ้างต้องช่วยกันระมัดระวังและป้องกันทรัพย์สินใดๆ ในบริเวณที่ทำงานโดยมิให้สูญหายหรือเสียหายจากบุคคลใดๆ หรือจากภัยพิบัติอื่นๆ เท่าที่สามารถจะทำได้
– กรณีที่ไอศกรีมภายในร้านไอศกรีมสูญหายเกินกว่าที่บริษัทกำหนดไว้ ลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานขายต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 50 บาท ต่อ 75 กรัม
– กรณีที่สมุดบันทึกยอดขายของร้านไอศกรีมสูญหาย บริษัทจะปรับเงินลูกจ้าง 500 บาท
– กรณีที่กระเป๋าเก็บเงินของร้านไอศกรีมหาย บริษัทจะปรับเงินลูกจ้าง 3,000 บาท
– กรณีที่เงินของร้านไอศกรีมสูญหาย ลูกจ้างในตำแหน่งพนักงานเก็บเงินต้องเป็นผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนเท่าที่สูญหายจริง
- ลูกจ้างต้องช่วยกันรักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในบริเวณที่ทำงาน รวมทั้งต้องรักษาความสะอาดร่างกาย ฟัน แต่งหน้าและรวบผมให้เรียบร้อยอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เส้นผมตกลงไปในอาหาร
- ลูกจ้างต้องไม่กระทำการทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายร่างกายบุคคลใดในบริเวณที่ทำงาน หากฝ่าฝืนบริษัทมีสิทธิเลิกจ้างทันที
- ลูกจ้างต้องไม่นำยาเสพติดผิดกฎหมาย หรืออาวุธที่มีอันตรายร้ายแรง หรือวัตถุระเบิดเข้ามาบริเวณที่ทำงาน
- ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีอยู่ในระเบียบและกฎเกณฑ์ของสังคมไม่ประพฤติชั่ว กระทำหรือร่วมกันกระทำการใด ๆ อันเป็นการผิดกฎหมายของบ้านเมืองทั้งในและนอกบริเวณบริษัท
- ไม่ช่วยเหลือ สนับสนุน ชักจูง รู้เห็นเป็นใจ หรือเพิกเฉยต่อการกระทำความผิดของลูกจ้างอื่น
- ห้ามรับจ้างทำงานให้ผู้อื่นหรือดำเนินธุรกิจใดๆ อันอาจเป็นผลกระทบกระเทือนเวลาทำงานหรือกิจการของบริษัท หรือเป็นการแข่งขันกับบริษัท
- ห้ามนำสิ่งของ เครื่องมือเครื่องใช้ หรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือใช้เพื่อการอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของบริษัท โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ไม่ประพฤติตนหรือกระทำการใดๆ ให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียงหรืออาจได้รับความเสียหาย
- ไม่เปิดเผยข้อมูล หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันอาจเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย
- ไม่ดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น หรือเหยียดหยามผู้บังคับบัญชา หรือลูกค้า หรือผู้มาติดต่อ หรือกระทำอื่นๆ ที่เป็นการอันไม่สมควร
- หากลูกจ้างหญิงตั้งครรภ์ให้แจ้งต่อผู้บังคับบัญชาเป็นลายลักษณ์อักษร
- ห้ามนำสัตว์เลี้ยงใด ๆ เข้ามาในบริเวณบริษัทฯ
- ต้องไม่ทำการทะเลาะวิวาท หรือใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งกันและกันในบริเวณบริษัท
- ลูกจ้างต้องรักษาความลับของลูกค้าของบริษัท และลูกจ้างอื่น หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท และต้องรักษาความลับและชื่อเสียงของบริษัท
6.2 โทษทางวินัย
- ลูกจ้างผู้ใดฝ่าฝืนข้อ 6.1 จะถูกพิจารณาลงโทษโดยการตักเตือนด้วยวาจา ตักเตือนเป็นหนังสือ ปรับเงิน ให้พักงาน หรือเลิกจ้าง และชดใช้ค่าเสียหาย (หากมี) ตามสมควรแห่งความผิดที่ได้กระทำ
- การปรับเงินและการเรียกค่าเสียหายตามข้อ 6.1 และ 6.2 นั้น บริษัทสามารถหักกลบลบหนี้กับเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษและเงินค่านายหน้าของเดือนนั้นๆ ได้
- ในกรณีที่ลูกจ้างถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดวินัย บริษัทอาจมีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือระบุความผิดและกำหนดระยะเวลาพักงานในระหว่างการสอบสวนได้ไม่เกินเจ็ดวันโดยแจ้งลูกจ้างทราบก่อนการพักงาน ซึ่งในระหว่างการพักงานบริษัทจะจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนถูกสั่งพักงาน และเมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิดบริษัทจะจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานนับแต่วันที่ลูกจ้างถูกสั่งพักงานเป็นต้นไปโดยคำนวณเงินที่บริษัทจ่ายไปแล้วเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี
ข้อ 7. การร้องทุกข์
7.1 ขอบเขตและความหมาย
การร้องทุกข์ หมายถึง กรณีที่ลูกจ้างมีความไม่พอใจหรือมีความทุกข์อันเกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพการทำงาน สภาพการจ้าง การบังคับบัญชา การสั่งหรือมอบหมายงาน การจ่ายค่าตอบแทนในการทำงานหรือประโยชน์อื่น หรือการปฏิบัติใดที่ไม่เหมาะสมระหว่างบริษัทหรือผู้บังคับบัญชาต่อลูกจ้างหรือระหว่างลูกจ้างด้วยกันและลูกจ้างได้เสนอความไม่พอใจหรือความทุกข์นั้นต่อบริษัท เพื่อให้บริษัทได้ดำเนินการแก้ไขหรือยุติเหตุการณ์นั้น ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างบริษัทและลูกจ้าง และเพื่อให้ลูกจ้างทำงานด้วยความสุข
7.2 วิธีการและขั้นตอน
ลูกจ้างที่มีความไม่พอใจหรือมีความทุกข์เนื่องจากการทำงานดังกล่าวข้างต้น ควรยื่นคำร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาโดยตรงหรือผู้บังคับบัญชาชั้นแรกของตนโดยเร็ว เว้นแต่เรื่องที่จะร้องทุกข์นั้นเกี่ยวกับการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวหรือผู้บังคับบัญชาดังกล่าวเป็นต้นเหตุก็ให้ยื่นคำร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง
การยื่นคำร้องทุกข์ให้กรอกข้อความลงในแบบพิมพ์ที่บริษัทได้กำหนดขึ้น
7.3 การสอบสวนและพิจารณา
เมื่อผู้บังคับบัญชาได้รับคำร้องทุกข์จากลูกจ้างแล้ว ให้รีบดำเนินการสอบสวนเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องที่ร้องทุกข์นั้นโดยละเอียดเท่าที่จะทำได้ โดยดำเนินการด้วยตนเองหรือด้วยความช่วยเหลือจากบริษัท ทั้งนี้ ลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ชอบที่จะให้ข้อเท็จจริงโดยละเอียดแก่ผู้บังคับบัญชาด้วย
เมื่อสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาเรื่องราวร้องทุกข์นั้น หากเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของอำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชานั้นและผู้บังคับบัญชาสามารถแก้ไขได้ ก็ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการแก้ไขให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แล้วแจ้งให้ลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ทราบ พร้อมทั้งรายงานให้บริษัททราบด้วย
หากเรื่องราวที่ร้องทุกข์นั้น เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของผู้บังคับบัญชานั้นให้ผู้บังคับบัญชาดังกล่าวเสนอเรื่องราวที่ร้องทุกข์ พร้อมทั้งข้อเสนอในการแก้ไขหรือความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ
ให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปดำเนินการสอบสวนและพิจารณาคำร้องทุกข์เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาระดับต้นที่ได้รับคำร้องทุกข์
ผู้บังคับบัญชาแต่ละชั้นต้องดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องทุกข์โดยเร็วอย่างช้าไม่เกิน 7 วัน
7.4 กระบวนการยุติข้อร้องทุกข์
เมื่อผู้บังคับบัญชาแต่ละชั้นได้พิจารณาคำร้องทุกข์ ดำเนินการแก้ไขหรือยุติเหตุการณ์ที่เกิดการร้องทุกข์ และได้แจ้งให้ลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ทราบ หากลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์พอใจก็ให้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยเร็วแต่ถ้าลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ไม่พอใจ ก็ให้ยื่นอุทธรณ์ โดยกรอกข้อความที่อุทธรณ์ลงในแบบพิมพ์ที่บริษัทได้กำหนดขึ้นและยื่นต่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ทราบผลการร้องทุกข์จากผู้บังคับบัญชาระดับต้น
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดจะพิจารณาอุทธรณ์และดำเนินการแก้ไขหรือยุติเหตุการณ์ตามคำร้องทุกข์ และแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการให้ลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ทราบภายใน 15 วัน
หากลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ยังไม่พอใจผลการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้บังคับบัญชาสูงสุด ย่อมมีสิทธิดำเนินการในทางอื่นอันชอบด้วยกฎหมายต่อไปได้ หรืออาจเสนอต่อบริษัท เพื่อร่วมกันตั้งผู้ชี้ขาดขึ้นเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาอันเกิดจากคำร้องทุกข์นั้นต่อไปได้
7.5 ความคุ้มครองผู้ร้องทุกข์และผู้เกี่ยวข้อง
ลูกจ้างผู้ยื่นคำร้องทุกข์ ลูกจ้างผู้ให้ถ้อยคำ ให้ข้อมูล ให้ข้อเท็จจริง หรือให้พยานหลักฐานใดเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และลูกจ้างที่เป็นผู้พิจารณาคำร้องทุกข์ เมื่อได้กระทำไปโดยสุจริตใจ แม้จะเป็นเหตุให้เกิดข้อยุ่งยากประการใดแก่บริษัท ก็ย่อมได้รับการประกันจากบริษัทว่าจะไม่เป็นเหตุหรือถือเป็นเหตุที่จะเลิกจ้าง ลงโทษ หรือดำเนินการใดที่เกิดผลร้ายต่อลูกจ้างดังกล่าว
ข้อ 8. การเลิกจ้าง ค่าชดเชย และค่าชดเชยพิเศษ
8.1 การเลิกจ้างกรณีปกติ
การเลิกจ้าง หมายความว่า
- การที่บริษัทไม่ให้ลูกจ้างทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด
- การที่ลูกจ้างไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่บริษัทไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป
บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง ดังต่อไปนี้
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปีให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไม่ครบสามปีให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย เก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี แต่ไม่ครบหกปีให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย หนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหกปี แต่ไม่ครบสิบปีให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย สองร้อยสี่สิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสองร้อยสี่สิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสิบปีขึ้นไป ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามร้อยวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
ข้อยกเว้นในการไม่จ่ายค่าชดเชย
บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างในกรณีหนึ่งกรณีใด ดังนี้
(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัท
(2) จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย
(3) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง
(4) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบหรือคำสั่งของบริษัทอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม และบริษัทได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีที่ร้ายแรงบริษัทไม่จำเป็นต้องตักเตือน โดยหนังสือเตือนให้มีผลบังคับใช้ได้ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่ลูกจ้างได้กระทำผิด
(5) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุอันควร
(6) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ถ้าเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
การบอกเลิกสัญญาจ้าง
- การจ้างที่มีกำหนดระยะเวลา สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลาจ้าง โดยบริษัทและลูกจ้างไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
- การจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา บริษัทหรือลูกจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบอย่างน้อยหนึ่งงวดการจ่ายค่าจ้าง
ลูกจ้างทดลองงานถือเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา
8.2 การเลิกจ้างเพราะเหตุอื่นที่บริษัทปรับปรุงหน่วยงานหรือการบริการ ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องลดจำนวนลูกจ้าง บริษัทจะปฏิบัติ ดังนี้
- แจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้างและรายชื่อลูกจ้างที่จะถูกเลิกจ้างให้พนักงานตรวจแรงงานและลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหกสิบวันก่อนวันที่จะเลิกจ้าง
ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถแจ้งได้หรือแจ้งการเลิกจ้างน้อยกว่าสามสิบวันต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้าย สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- จ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มจากค่าชดเชยปกติตามข้อ 8.1 ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานติดต่อกันเกินหกปีขึ้นไป โดยจ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสิบห้าวันต่อการทำงานครบหนึ่งปี หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสิบห้าวันสุดท้ายต่อการทำงานครบหนึ่งปีสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ทั้งนี้ ค่าชดเชยพิเศษดังกล่าวจะไม่เกินค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยหกสิบวันหรือไม่เกินค่าจ้างของการทำงานสามร้อยหกสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
กรณีระยะเวลาการทำงานไม่ครบหนึ่งปี ถ้าเศษของระยะเวลาทำงานมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ให้นับเป็นการทำงานครบหนึ่งปี
8.3 การย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น
ในกรณีที่บริษัทจะย้ายสถานประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น อันมีผลกระทบสำคัญต่อการดำรงชีวิตตามปกติของลูกจ้างหรือครอบครัว บริษัทจะปฏิบัติดังนี้
- บริษัทต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันก่อนวันย้ายสถานประกอบกิจการ
ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถแจ้งได้ หรือแจ้งการย้ายสถานประกอบกิจการน้อยกว่าสามสิบวัน จะจ่ายค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือเท่ากับค่าจ้างของ การทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้าง ซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย
- หากลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทำงานด้วย ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากบริษัทหรือวันที่บริษัทย้ายสถานประกอบกิจการ แล้วแต่กรณี โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษไม่น้อยกว่าอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามข้อ 8.1 ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ลูกจ้างบอกเลิกสัญญา
ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องให้คณะกรรมการสวัสดิการแรงงานพิจารณาภายในสามสิบวันนับแต่ วันครบกำหนดจ่ายค่าชดเชยพิเศษหรือค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ว่าเป็นกรณีที่บริษัทต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าหรือลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษหรือค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่
ข้อ 9. สภาพการบังคับและการประกาศใช้
- ระเบียบข้อบังคับนี้ใช้ต่อลูกจ้างทุกคน
- บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือคำสั่งที่ซึ่งมีผลบังคับใช้ในบริษัทก่อนหน้าวันที่ประกาศใช้บังคับ และมีข้อความแตกต่างไปจากข้อบังคับนี้ให้ยกเลิกข้อความเฉพาะในส่วนที่ขัดแย้งกับข้อบังคับนี้ และให้ใช้ระเบียบข้อบังคับนี้แทน